เปรียบเทียบ Shopify กับ WordPress
Shopify เทียบกับ WordPress 2024 ตัวเลือกใดดีสำหรับร้านค้าออนไลน์ของคุณมากกว่ากัน
Shopify มอบโซลูชันสำเร็จที่พร้อมใช้งานทันทีให้กับผู้ค้า ทำให้คุณสามารถดำเนินธุรกิจร้านค้าออนไลน์แบบมีโฮสต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยฟีเจอร์การป้องกันการทุจริตและการรักษาความปลอดภัยในตัว
ลองใช้ Shopify ฟรี 3 วัน ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต การป้อนอีเมลของคุณแสดงว่าคุณตกลงที่จะรับอีเมลการตลาดจาก Shopify
เพราะเหตุใดจึงควรเลือก Shopify เมื่อเทียบกับ WordPress
ฟีเจอร์สำคัญ | ||
---|---|---|
รวมการโฮสต์ | Wordpress | Shopify |
ออกแบบมาเพื่ออีคอมเมิร์ซ | Wordpress | Shopify |
โปรแกรมแก้ไขรูปลักษณ์ | Wordpress | Shopify |
ใบรับรอง SSL ฟรี | Wordpress | Shopify |
รวมโดเมนย่อย | Wordpress | Shopify |
รวมอีเมล | Wordpress | Shopify |
ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง | Wordpress | Shopify ให้บริการเป็นภาษาอังกฤษ 24 ชั่วโมง |
การปฏิบัติตาม GDPR | Wordpress | Shopify |
การทดลองใช้งานฟรี | Wordpress | Shopify |
ระบบ POS ที่เป็นกรรมสิทธิ์ | Wordpress | Shopify |
การดูแลรักษาเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ | Wordpress | Shopify |
แอปที่แสดงให้ผู้ซื้อเห็น | Wordpress | Shopify |
การปรับแต่งที่ง่ายดาย | Wordpress | Shopify |
ใช้งานง่าย | Wordpress | Shopify |
การปฏิบัติตาม PCI-DSS | Wordpress | Shopify |
CMS ในตัว | Wordpress | Shopify |
การป้องกันการฉ้อโกงในตัว | Wordpress | Shopify |
โซลูชันสำเร็จที่พร้อมใช้งานได้ทันที | Wordpress | Shopify |
เริ่มการขายกับ Shopify วันนี้
ลองใช้ Shopify ฟรี และสำรวจเครื่องมือและบริการทั้งหมดที่คุณต้องการในการเริ่มต้น ดำเนินการ และขยายธุรกิจของคุณ
10 สิ่งที่ Shopify ทำได้เมื่อเทียบกับ WordPress
เครื่องมืออีคอมเมิร์ซในตัว
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง WordPress กับ Shopify คือ WordPress เป็นระบบจัดการเนื้อหา ส่วน Shopify เป็นเครื่องมือสร้างเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ Shopify สร้างขึ้นสำหรับเจ้าของธุรกิจและมีฟีเจอร์อีคอมเมิร์ซในตัว ส่วน WordPress สร้างขึ้นสำหรับบล็อกเกอร์และฟรีแลนซ์ โดยมีอีคอมเมิร์ซเป็นส่วนประกอบที่มาในรูปแบบปลั๊กอิน
โซลูชันที่มีการโฮสต์
Shopify มีการโฮสต์ที่เชื่อถือได้รวมอยู่ในตัว ส่วน WordPress แนะนำโซลูชันจากภายนอก เช่น Bluehost, Dreamhost และ SiteGround เมื่อ Shopify มีการโฮสต์รวมไว้ให้แล้ว การตั้งค่าก็จะง่ายขึ้น เพราะไม่จำเป็นต้องสมัครรับบริการการโฮสต์เนื่องจากรวมอยู่ใน Shopify อยู่แล้ว
เริ่มใช้งานได้รวดเร็ว
Shopify เป็นโซลูชันสำเร็จที่พร้อมใช้งานได้ทันที ซึ่งช่วยให้เจ้าของร้านสามารถสร้างเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อที่พวกเขาจะได้โฟกัสกับการสร้างยอดขาย ด้วยเครื่องมือแก้ไขธีม การโฮสต์และโดเมนย่อยรวมอยู่ในตัว พร้อมทั้งฟีเจอร์อื่นๆ Shopify จึงตั้งค่าได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย
การสมัครใช้งานที่ง่ายดาย
แม้ว่าการใช้งาน WordPress จะไม่มีค่าใช้จ่าย แต่คุณก็ต้องเสียเงินไปกับการสร้างเว็บไซต์ WordPress โดย Shopify ช่วยให้กระบวนการชำระเงินง่ายขึ้นด้วยแผนบริการ 5 แบบที่คุณสามารถเลือกพัฒนาได้ แต่ใน WordPress คุณจะต้องจ่ายค่าการโฮสต์ ชื่อโดเมน ธีม อีกทั้งยังอาจรวมถึงค่าจ้างผู้พัฒนาเว็บและปลั๊กอินต่างๆ เพื่อสร้างร้านค้าออนไลน์
ปรับแต่งได้ง่าย
เมื่อเปรียบเทียบ Shopify กับ WordPress แล้ว Shopify เปิดโอกาสให้คุณปรับแต่งเว็บไซต์ได้แม้ว่าคุณจะไม่รู้วิธีเขียนโค้ดก็ตาม ใช้ Shopify อัปเดตการจัดวางตัวอักษร สี และเค้าโครงของหน้าทั้งหมด และหากคุณรู้วิธีเขียนโค้ด ก็สามารถใช้ไฟล์ HTML และ CSS ได้อย่างง่ายดาย
ความปลอดภัยที่ติดตั้งภายในตัว
Shopify ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของแพลตฟอร์มเป็นอย่างยิ่ง เว็บไซต์ Shopify ทั้งหมดมีใบรับรอง SSL นอกจากนี้แพลตฟอร์ม Shopify ยังได้รับการรับรอง PCI DSS ระดับ 1 และมีการออกรายงาน Service Organization Control (SOC) 2 Type II และ SOC 3 ให้อีกด้วย ในขณะเดียวกันหากคุณต้องการให้ไซต์ WordPress ของคุณปลอดภัยยิ่งขึ้น คุณจะต้องมีปลั๊กอินเพื่อเสริมฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย
รวมโดเมนย่อยในตัว
ใน Shopify คุณจะได้รับโดเมนย่อยฟรีบน .myshopify.com สำหรับร้านค้าของคุณ นอกจากนี้ คุณยังสามารถซื้อโดเมน .com ของคุณเองได้โดยใช้เครื่องมือสร้างชื่อโดเมนของ Shopify ส่วนใน WordPress คุณจะต้องซื้อชื่อโดเมนของคุณเองเป็นโดเมนย่อย ซึ่งจะไม่รวมไว้ให้
ฟีเจอร์อีเมลในตัว
ข้อแตกต่างประการหนึ่งระหว่าง Shopify กับ WordPress ก็คือ Shopify มาพร้อมกับ Shopify Email คุณสามารถใช้ Shopify Email เพื่อส่งอีเมลถึงลูกค้าได้สูงสุด 2,500 ฉบับฟรี นอกจากนี้ คุณจะได้รับเทมเพลตอีเมลสำเร็จรูปและการติดตามในตัวอีกด้วย
การซ่อมบำรุงไซต์ที่น้อยกว่า
เว็บไซต์ของ Shopify จะได้รับการดูแลอัปเดตเป็นประจำโดยอัตโนมัติ ส่วนใน WordPress คุณจำเป็นต้องอัปเดต WordPress และปลั๊กอินของคุณด้วยตนเอง ซึ่งอาจทำให้เว็บไซต์ของคุณมีช่องโหว่และอาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
เพราะเหตุใดผู้ขายถึงชอบใช้ Shopify มากกว่า WordPress
ผู้ขายแต่ละรายต้องรับผิดชอบในการปฏิบัติตาม GDPR ซึ่งแพลตฟอร์มของ Shopify มีฟีเจอร์ที่ปฏิบัติตาม GDPR พร้อมในตัว ส่วนใน WordPress คุณจะต้องติดตั้งปลั๊กอินเพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบ
เพราะเหตุใดผู้ขายถึงชอบใช้ Shopify มากกว่า WordPress
แอปที่แสดงให้ลูกค้าเห็น
Shopify ต่างจาก WordPress ตรงที่มีแอปที่แสดงให้ลูกค้าเห็นชื่อว่า Shop ซึ่งช่วยให้นักช้อปสามารถซื้อสินค้าจากแบรนด์อิสระต่างๆ บน Shopify ได้อย่างสะดวก ลูกค้าสามารถค้นพบแบรนด์ ชำระเงินได้เร็วกว่า และติดตามพัสดุจัดส่งของตนได้จากใน Shop
ความช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมง
Shopify พร้อมให้บริการช่วยเหลือตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ไม่ว่าคุณจะใช้แผนใดก็ตาม นอกจากนี้ คุณยังสามารถเข้าถึงเอกสารช่วยเหลือ การสัมมนาออนไลน์ บล็อกโพสต์ และหลักสูตรออนไลน์เพื่อแนะนำคุณตลอดขั้นตอน ส่วน WordPress ให้บริการช่วยเหลือทางโทรศัพท์และอื่นๆ อีกมากมาย
การทดลองใช้งานฟรี
Shopify แตกต่างจาก Wordpress ตรงที่เสนอให้ทดลองใช้งานแพลตฟอร์มฟรี ด้วยการทดลองใช้ฟรี คุณจะสามารถออกแบบและเปิดตัวร้านของคุณ (และอาจได้ยอดขายครั้งแรกสมปรารถนา) แต่ใน WordPress คุณจะต้องจ่ายค่าโฮสต์และชื่อโดเมนก่อนที่จะได้ทดลองใช้งานแพลตฟอร์ม บน Shopify คุณสามารถใช้โดเมนย่อยที่ให้มาเพื่อทดลองสิ่งต่างๆ เลย
ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ด้านเทคนิคมากนัก
อินเทอร์เฟซที่เป็นมิตรของ Shopify ช่วยให้คุณสามารถออกแบบและปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณได้โดยไม่จำเป็นต้องรู้วิธีเขียนโค้ด ซึ่งอาจง่ายกว่าใช้งานธีม WordPress โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นธีมที่สร้างโดยนักพัฒนาจากภายนอก
ช่องทางการชำระเงินมากกว่า 100 วิธี
Shopify มีช่องทางการชำระเงินให้เลือกมากกว่า 100 วิธี รวมถึง Stripe, PayPal, AmazonPay และอีกมากมาย แต่สำหรับ WordPress คุณจำเป็นต้องติดตั้งส่วนขยายจาก Woocommerce เพื่อเข้าถึงช่องทางการชำระเงิน
ฟีเจอร์ SEO ในตัว
Shopify มีฟีเจอร์ SEO ในตัวเพื่อช่วยให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณติดอันดับบนเครื่องมือค้นหา Shopify มีระบบจัดการเนื้อหาเช่นเดียวกับ WordPress เพื่อให้คุณสามารถสร้างเนื้อหาบล็อกเพื่อเพิ่มจำนวนหน้าบนเว็บไซต์ของคุณได้ นอกจากนี้ Shopify ยังมีฟีเจอร์ให้คุณใส่ชื่อเมตา คำอธิบาย และข้อมูลอื่นๆ ลงในเว็บเพจของคุณได้
ระบบ POS ที่เป็นกรรมสิทธิ์
Shopify ต่างจาก Wordpress ตรงที่มีระบบขายหน้าร้านที่เป็นกรรมสิทธิ์ชื่อว่า Shopify POS ซึ่งรวมข้อมูลการขายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ไว้ในที่เดียวเพื่อให้คุณสามารถวัดผลการดำเนินงานของธุรกิจได้ คุณสามารถสร้างใบสั่งซื้อ ถ่ายโอนสต็อกสินค้า และอื่นๆ ด้วย Shopify POS แต่สำหรับ WordPress คุณจะต้องใช้ปลั๊กอินจึงจะมีฟีเจอร์นี้ได้
การป้องกันการฉ้อโกงในตัว
การฉ้อโกงเป็นเรื่องที่ Shopify ใส่ใจให้การดูแล ด้วยฟีเจอร์ป้องกันการฉ้อโกงในตัว คุณสามารถตัดสินใจได้ว่าจะดำเนินการตามคำสั่งซื้อของลูกค้าหรือไม่ คุณจะได้รับข้อมูลวิเคราะห์ที่แจ้งให้คุณทราบว่าสิ่งใดที่ทริกเกอร์การป้องกันการฉ้อโกง เช่น ที่อยู่จัดส่งไม่ตรงกับที่อยู่เรียกเก็บเงิน จากนั้น คุณจะเห็นการประเมินความเสี่ยงว่าอยู่ในระดับต่ำ ปานกลาง หรือสูง แต่ใน WordPress คุณจะต้องใช้ปลั๊กอินเพื่อป้องกันการฉ้อโกง
การดูแลรักษาเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ
เมื่อใช้ WordPress และปลั๊กอิน คุณจะต้องตรวจสอบการอัปเดตด้วยตนเองเพื่อให้แน่ใจว่าคุณมีซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุดเพื่อป้องกันการแฮ็ก นอกจากนี้ ขณะติดตั้งการอัปเดต เว็บไซต์ WordPress ของคุณจะอยู่ในโหมดบำรุงรักษา ทำให้ผู้เยี่ยมชมไม่สามารถเข้าถึงเว็บไซค์ของคุณได้ ใน Shopify การอัปเดตจะดำเนินการโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้งานโหมดบำรุงรักษา
เราใช้เวลาเพียง 3 ปีในการทำสิ่งที่แบรนด์จำนวนมากไม่สามารถทำได้ใน 10 ปี
ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Shopify
เปรียบเทียบ Shopify
ดูว่า Shopify เป็นอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับแพลตฟอร์มอื่นๆ
ชุมชน Shopify
เรียนรู้จากเจ้าของธุรกิจบนกระดานสนทนาของ Shopify
ศูนย์ช่วยเหลือของ Shopify
หาคำตอบสำหรับคำถามเกี่ยวกับ Shopify ทั้งหมดที่คุณมีอย่างรวดเร็ว
เริ่มการขายกับ Shopify วันนี้
ลองใช้ Shopify ฟรี และสำรวจเครื่องมือและบริการทั้งหมดที่คุณต้องการในการเริ่มต้น ดำเนินการ และขยายธุรกิจของคุณ
คำถามที่พบบ่อย
อะไรดีกว่ากัน: Shopify หรือ WordPress
Shopify มักจะเหมาะกับธุรกิจอีคอมเมิร์ซมากกว่า ส่วน WordPress เหมาะกับบล็อกเกอร์มากกว่า Shopify สร้างขึ้นมาสำหรับอีคอมเมิร์ซและรวมเอาฟีเจอร์ต่างๆ เช่น ส่วนลด บัตรของขวัญ สินค้าไม่จำกัด การวิเคราะห์การฉ้อโกง บัญชีผู้ใช้ของพนักงาน และอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากนี้คุณยังสามารถสร้างบล็อกบน Shopify ได้เช่นเดียวกับ WordPress
จะโอนย้ายจาก WordPress ไปยัง Shopify ได้อย่างไร
คุณสามารถใช้แอป Store Importer เพื่อโอนย้ายจาก WordPress ไปยัง Shopify ได้ โดยแอป Store Importer จะถ่ายโอนข้อมูลสำคัญ เช่น สินค้าและลูกค้าอย่างปลอดภัย ดังนั้นคุณจึงไม่จำเป็นต้องดำเนินการด้วยตนเอง
WordPress หรือ Shopify เหมาะสำหรับการขายอีบุ๊คมากกว่ากัน
เนื่องจาก Shopify มีความเชี่ยวชาญด้านอีคอมเมิร์ซ จึงเหมาะสำหรับการขายอีบุ๊ค รวมถึงสินค้าดิจิทัลและสินค้าที่จับต้องได้อื่นๆ นับพันรายการ หากคุณมีเว็บไซต์ WordPress คุณสามารถใช้ปุ่มซื้อของ Shopify เพื่อขายสินค้าได้
วิธีใช้ปุ่มซื้อของ Shopify บน WordPress
คุณสามารถใช้ปุ่มซื้อของ Shopify บน WordPress เพื่อขายสินค้าบนเว็บไซต์ WordPress ของคุณได้ โดยคุณจะต้องเพิ่มช่องทางการขายผ่าย "ปุ่มซื้อ" ลงในร้านค้า Shopify ของคุณ จากนั้นคุณจะต้องสร้างปุ่มซื้อและฝังโค้ดลงในไซต์ WordPress ของคุณ
สามารถใช้ปลั๊กอินอะไรในการเชื่อมต่อ WordPress กับ Shopify
สามารถใช้ปลั๊กอิน WP Shopify บน WordPress เพื่อเชื่อมต่อ WordPress กับ Shopify ได้
การอัปเดตหน้าครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2021
แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซตัวใดที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
รับทราบข้อมูลว่าเพราะเหตุใดธุรกิจนับพันจึงย้ายมาใช้ Shopify ทุกปี
- Shopify เทียบกับ WooCommerce
- Shopify เทียบกับ Wix
- Shopify เทียบกับ Squarespace
- Shopify เทียบกับ Etsy
- Shopify เทียบกับ BigCommerce
- Shopify เทียบกับ PrestaShop
- Shopify เทียบกับ Bluehost
- Shopify เทียบกับ GoDaddy
- Shopify เทียบกับ Adobe Commerce (Magento)
- Shopify เทียบกับ Square
- Shopify เทียบกับ Lightspeed
- Shopify เทียบกับ Vend